Wednesday, 2 November 2016

บ้านต้นศิลป์

บ้านต้นศิลป์



ไม่ไกลจากโรงเรียนรุ่งอรุณ เเละสถาบันอาศรมศิลป์ มีหมู่บ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ขนาดย่อม ๆ ซึ่งภายในหมู่บ้านมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เป็นบ้านหลังหนึ่งของสถาปนิกท่านหนึ่ง "บ้านต้นศิลป์" ซึ่งได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมเหรียญทอง ประเภทบ้าน จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์



อ. ชาตรี ลดาลลิตสกุล (อ.โหน่ง) สถาปนิกผู้ก่อตั้งสตูดิโอต้นศิลป์ เป็นทั้งเจ้าของบ้าน เเละผู้ออกเเบบ บ้านต้นศิลป์หลังเปิดดอกาสให้นักศึกษาจากสถาบันอาศรมศิลป์ได้เข้าชมบ้าน เเละซักถามข้อสงสัย เเลกเปลี่ยนความรู้ในอาคารที่มีทั้งศาสตร์ เเละศิลป์ที่ผสมผสานกันเกิดเป็นสุนทรียะสำหรับผู้อยู่อาศัย เเละผู้เยี่ยมเยียน 


บ้านต้นศิลป์มีลักษณะเป็น Home Office คือมีส่วนทำงาน เเละพักอาศัยอยู่ในตัวอาคารเดียวกัน เมื่อหันหน้าเข้าตัวบ้าน ส่วนพักอาศัย เเละที่ทำงานจะเเยกออกเป็นสองฝั่ง เชื่อมต่อด้วยชานขนาดใหญ่ (span 10 เมตร) เป็น common area ที่ใช้งานได้หลากหลาย เป็น gray space หรือ transition ระหว่างภายนอก เเละภายในบ้าน พวกเรานั่งฟัง อ.โหน่งเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ เเละการออกเเบบก่อสร้างบ้านหลังนี้ที่ชานนี้ การออกเเบบนั้นมีสิ่งต้องคำนึงถึงอยู่สองอย่าง คือ เนื้อหาของสถาปัตยกรรม เเละพลังของสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน เช่น การสร้าง space ด้วยเนื้อหา หรือภาษาทางสถาปัตยกรรม ให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึกกับผู้ใช้งาน เเละบุคคลที่ผ่านเข้ามา




ตัวบ้านหันด้านยาวตามเเนวทิศเหนือใต้ หันหน้าบ้านไปทางทิศใต้ รับลมที่จะไหลมาตามทิศทั้งสอง ในช่วงเวลาที่เเตกต่างกันในรอบปี ขณะที่นั่งอยู่มีลมพัดตลอดทำให้เกิดความเย็นสบาย น่าจะเป็นเพราะขนาดความกว้างของชาน เเละทิศทางของอาคาร รวมถึงการวางบ่อน้ำขนาดกลาง ๆ ไว้ทิศทางที่กระเเสลมพัดผ่าน ช่วยให้ลมหอบเอาความเย็นที่ได้จากไอน้ำเข้าสู่พื้นที่ สร้างความเย็นสบายเมื่อเข้ามาใช้พื้นที่

ขณะที่นั่งฟังบรรยายอยู่ เเสงเเดดที่ส่องกระทบผืนน้ำก็สะท้อนไปบนฝ้าเพดานคอนกรีต เเสงสะท้อนที่เรืองรองระยิบระยับ ทำให้เกิดสุนทรียภาพในการใช้พื้นที่ในอีกทางหนึ่ง หากมาในจังหวะวันเวลาที่ดีที่เเสงอาทิตย์จะทอดผ่านร่มไม้ที่ปลูกอยู่โดยรอบชาน เกิดเงาทาบทับไปบนผนังคอนกรีตด้วยเเล้ว นับเป็นเสน่ห์อันสมบูรณ์มากขึ้นของพื้นที่ อันเกิดจากการทำงานร่วมกันของการจัดวาง วัสดุ สิ่งเเวดล้อม เเละเเสง



ชั้นด้านบนของชานนี้เป็นห้องทำงาน หรือที่ตั้งของสตูดิโอต้นศิลป์ อ.โหน่ง ต้องการให้เห็นวิวภายนอกได้ในมุมกว้าง ไม่มีอะไรมาบดบังทัศนียภาพ เเละจงใจวางต้นยูงทองไว้หน้าบ้านเป็นจุดหมายตาที่เมื่อนั่งทำงานอยู่ก็สามารถมองเห็นได้ตลอดเเละเห็นได้อย่างอย่างทั่วถึงทั้งต้น อีกทั้งยังออกเเบบบ้านกระทุ้งที่ใช้เท้าเปิดให้กลิ่นอายของเรือนพื้นถิ่น ที่อ.โหน่งบอกว่าเป็นการออกเเบบตามพื้นเพท้องถิ่นของบ้านเกิด






เมื่อพูดถึงกลิ่นอายของความเป็นบ้านพื้นถิ่นก็สามารถสังเกตเห็นได้มากมายจากตัวบ้าน เช่น ช่องกันเเมว ฝาสำรวจ ใต้ถุนบ้าน หรือพื้นที่ common area ในบ้าน โดยเฉพาะชั้นบนสุดของตัวบ้านที่เชื่อมสองฝั่งของบ้านด้วยห้องทำงานศิลปะ เมื่อเข้าไปใช้งานเเล้วให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนชานบ้าน เพราะเเม้จะอยู่ในตัวอคาร เเต่ก็ให้ความรู้สึกสัมผัสได้กับภายนอกอาคารค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเเสงเเดดที่ส่องเข้ามาเนื่องจากชายคาที่ไม่ยาวเกินไป เเละฝนที่สาดเข้ามาได้ถึงภายในบางส่วน กลิ่นของบรรยากาศที่เปลี่ยนไปต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งให้ผู้เขียนสัมผัสถึงสุนทรียภาพของพื้นที่ส่วนนี้อย่างเป็นปัจเจก ซึ่งทำให้เห็นกายภาพของอาคาร เเละการมีอยู่ของลมหายใจของสถาปัตยกรรม

  

จากการได้ฟัง เเละซักถาม อ.โหน่ง ผู้เขียนมีความสนใจในเรื่องสุนทรียศาสตร์ในงานสถาปัตยกรรมมากขึ้น เเละเห็นถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์ความงาม ทั้งนี้การเรียนรู้ให้เข้าถึงความงามเเม้ว่าจะต้องใช้เวลามาก เเละเป็นการเรียนรู้ทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม "หนทางหมื่นลี้เริ่มที่ก้าวเเรก" การทำงานอย่างจริงจัง พิจารณาอย่างถ้วนถี่ ความใส่ใจ เเละใฝ่รู้ คือกุญเเจสำคัญของการเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ เพียงเเต่ต้องใช้การรับรู้ในสภาวะหนึ่งผ่านประสบการณ์การทำงาน เเละการใช้ชีวิต เหมือนที่ อ.โหน่งได้เเสดงให้เห็นจากบ้านหลังนี้

สุดท้าย อ.โหน่ง ให้ข้อชี้เเนะในการทำงานว่า การออกเเบบที่ดีนั้นประกอบด้วย ๔ ปัจจัยหลัก คือ

๑. การวิเคาระห์
๒. การกำหนดเป้าหมาย
๓. เเนวคิดในการออกเเบบ
๔. ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่ใช้ในงานออกเเบบ

การออกเเบบเพื่อเป้าหมายหนึ่ง ๆ มีวิธีเเละเเนวทางมากมาย เช่น การออกเเบบ place ที่ทำให้เกิดความสงบ สามารถใช้สิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น เสียงของธรรมชาติ เเสง ฯลฯ

ในการสร้างความงามให้เกิดขึ้นในสถาปัตยกรรมเป็นเป้าหมายสูงสุดของสถาปนิก หรือนักออกเเบบ

ความถูกต้อง -> ความน่าสนใจ -> ความจริง -> ความงาม

งานออกเเบบที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันสามารถสร้างจิตวิญญาณของงานได้ง่าย ซึ่งเกิดจากความเป็นสุนทรียะจากวิถีชีวิต วัสดุ ธรรมชาติ เเละความละเอียดอ่อนของ sense ของผู้ออกเเบบ