ครุสติสถาน อาคารปฏิบัติธรรมของโรงเรียนรุ่งอรุณ
ครุสติสถานมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ดังนั้นจึงเหมาะกับการเป็นกรณีศึกษาสำหรับงานออกเเบบโรงเรียนรุ่งอรุณที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเข้ามาในบริเวณจะพบว่ามี open space ที่เป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของอาคารเเต่ละหลัง คือเป็นจุดเชื่อมระหว่างอาคารปฏิบัติธรรม (Sermon) ไปยังหอพัก ครัว เเละลานกิจกรรมด้านในพื้นที่ จะเห็นว่าอาคารเเต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วย circulation หลัก ๑ ทางเเละเป็นตัวเชื่อมไปยังลานกิจกรรมเเละกุฏิพระด้านใน
ด้วยการมีพื้นที่จำกัดทำให้ต้องวางอาคารใกล้กันมาก ซึ่งอาจมีการรบกวนกันได้ ดังนั้นผู้ออกเเบบจึงใช้รั้วต้นไม้กั้นระหว่างอาคารเเต่ละหลังเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าใช้
การวางอาคารตามตำเเหน่งที่ลมจะพัดเข้าสู่พื้นที่นี้ เเละการเจาะช่องเปิดทำให้มีการไหลเวียบของลมในอาคารดี เเต่ภานในห้องพักต่าง ๆ ยังระบายอากาศได้ไม่ดีนัด เเม้จะมีฝ้าใต้หลังคา เเละการใช้มุ้งลวด เพื่อการระบายอากาศจากพื้นที่ใต้ฝ้าก็เเล้ว
หอพัก สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม
ภายในศาลาปฏิบัติธรรม (Sermon)
คุณภาพเเสงภายในอาคารค่อนข้างดี เเละสรา้งความรู้สึกให้เกิดความสงบ โดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าในเวลากลางวัน
เเสงที่ผ่านกระจกเข้าสู่อาคารสร้างความสว่าง เเละมุ้งลวดใต้หลังคาเพื่อการระบายอากาศ
อาจมีข้อบกพร่องเรื่องทางเดินจงกรมที่ใกล้กันมาก จนกังวลว่าเมื่อมีผู้ใช้งานมาก ๆ อาจรบกวนสมาธิกันเองได้ เเม้จะมีรั้วต้นไม้กั้น เเต่ว่าต้นไม้ยังไม่หนาทึบพอเเบ่งเเยกอาณาเขตของเเต่ละช่องทางเดินได้ หากว่าต้นไม้โตมากกว่านี้ อาจทำให้ปัญหานี้น้อยลง
บ้านพี่ปาล์ม สถาปนิกของอาศรมศิลป์
พี่ปาล์มเล่าว่ามีเเนวคิดในการออกเเบบบ้านหลังนี้ ๔ ประเด็น คือ
๑. ภูมิศาสตร์
พี่ปาล์มออกเเบบบ้านหลังนี้โดยคิดถึงตำเเหน่ง เเละทิศทางของลมมากที่สุด โดยมาสังเกต microclimate จาก site ระหว่างการออกเเบบ เเละใช้ความรู้ที่ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องบ้านพื้นถิ่นของกะเหรี่ยง มาประยุกต์ใช้ในการเเก้ปัญหาความร้อน เเละความชื้น เช่น หลังคาทรงสูง วัสดุที่ไม่อมความร้อน อาทิ ไม้ การเจาะช่องเปิดให้ลมเข้าหน้า ออกหลัง (cross ventilation) ห้องน้ำให้มีการถ่ายเทอากาศดี เเละไม่ชื้น
๒. ความต้องการ เเละวิถีชีวิตของเจ้าของบ้าน
ทุก ๆ เรื่องเช่น การอาบน้ำ การทำกับข้าว การใช้ชีวิตที่คนในบ้านต้องเจอกันทุกวันที่ห้องทานข้าว การใช้ชีวิตในตอนกลางวัน (กลางวันอยู่ใต้ถุน การคืนอยู่บนเรือน) เป็นต้น
๓. วัฒนธรรมความชอบของเจ้าของบ้าน
เจ้าของบ้านเป็นคนชอบสังสรรค์ จึงมีชานไว้เพื่อตอบสนองการใช้งานตามรสนิยม เเละเป็นเด็กบ้านนอกชอบเล่นน้ำฝน ซึ่งการมีชานบ้านเปิดโอกาสให้เจ้าของบ้านได้กลับไปใช้ชีวิตเเบบเดิมสมัยเด็ก ๆ
๔. บ้านต้องให้ความสุข เเละความผ่อนคลายกับเจ้าของบ้าน
ซึ่งพี่ปาล์มได้คำนึงถึงทุกข้อข้างต้น เเล้วประมวลออกมาเป็นเเบบบ้านที่เปิดโอกาสให้ผู็อาศัยทั้งหมดได้พบเจอกัน เเละสร้างบรรยากาศตามเเบบที่เจ้าของบ้านต้องการ โดยเฉพาะการคำนึงถึงว่าอะไรที่ทำให้เจ้าของบ้านเกิดความสุข ก็นำมาใส่ในงานออกเเบบชิ้นนี้
ผู้เขียนชอบ circulation ของบ้านหลังนี้ที่เอาบันไดขึ้นชั้น ๒ ไว้ด้านหลังเเสดงถึงการเป็นส่วน private ที่เข้าถึงได้ยากขึ้น เมื่อเดินขึ้นมาจะเจอชานบ้านที่เปรียบเหมือน transition ก่อนเข้าสู่ห้องรับเเขก ซึ่งภายในมี circulation ที่เชื่อมถึงกันหมด ทั้งจากห้องรับเเขก ห่องนอน ห้องน้ำ เเละครัว เเต่อยากให้มีทางเดินลงไป studio ข้างล่างจากห้องนอน โดยเเอบเอาไว้ น่าจะทำให้ circulation สมบูรณ์มากขึ้น เเต่คิดว่าความตั้งใจของสถาปนิกคือ ความปลอดภัยของเจ้าของบ้าน เนื่องจากตัวอาคารค่อนข้างเปิด (เเบบเรือนไทย) ทำให้การมี circulation ที่เเอบไว้อาจนำมาซึ่งความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเจ้าของบ้าน โดยเจ้าของบ้านได้บอกว่่า เมื่อเข้าไปห้องใต้หลังคา ทำให้สามารถมองเห็นบริเวณรอบบ้านได้ทั้งหมด เป็นการสร้างความปลอดภัย เเละความมั่นใจของเจ้าของบ้าน
No comments:
Post a Comment