Wednesday, 12 October 2016

MAHIDOL LEARNING CENTER

จิตวิญญาณของความเป็นมหิดล

อาคารที่ต้อนรับชาวมหิดลด้วยสัญลักษณ์ที่คุ้นเคย ทั้งอนุสาวรีย์พราะบรมราชชนก ปรัชญาของมหิดลที่แปลผ่านตัวอักษร เเละดอกกันภัย ๓ สัญลักษณ์ที่สำคัญถูกจัดวางอยู่บนเเกนหลักของอาคาร ช่วยสร้างบรรยากาศของความเป็นมหิดลภายในอาคาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนฉงนสงสัยตั้งเเต่ได้อ่านเเนวคิดวิธีการออกเเบบอาคารหลังนี้ โดยมีเป้าหมายที่เเสดงถึง "จิตวิญญาณ" ของชาวมหิดล เเละได้เห็นวิธีการใส่ "วิญญาณ" เข้าไปในกายภาพให้เกิดเป็น "สถาปัตยกรรม" ที่มีความหมายต่อผู้ใช้งาน

ศูนย์กลางมหาวิทยาลัยเเห่งนี้ถูกวางอยู่บนเเกนหลัก ๒ เเกน คือ ทิศเหนือ-ใต้ที่อยู่บนเเนวเดียวกับ มหิดลสิทธาคาร เเละทิศตะวันออก-ตกบนเเกนเดียวกับ หอพักนักศึกษา เเละอาคารเรียน ผู้ออกเเบบจงใจให้ทางเข้าออกหลักของอาคารอยู่ทางฝั่งหอพักนักศึกษา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการใช้งานตลอดเวลา เเม้กระทั่งช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งความหนาเเน่นในการใช้งานเเตกต่างจากทางฝั่งอาคารเรียน เเละทิศทางอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

 บันไดบนทางเข้าหลักนี้ ยังเชิญชวนให้เดินขึ้นไปสู่ชั้นสองที่จัดให้เป็น Hall of Fame เเละโถงพระบิดา ซึ่งผู้ออกเเบบต้องการให้นักศึกษาได้เรียนรู้จุดเริ่มต้น เเละความเป็นมหิดล

ภายในตัวอาคารมีการเเบ่งคอร์ทออกเป็นสองส่วน คือคอร์ทด้านทิศใต้ที่มีขนาดใหญ่เเละมีการใช้งานเเบบ public เป็นที่ชุมนุมการรับน้อง การล้อมคอร์ทด้วยสัญลักษณ์ความเป็นมหิดล คือ พระรูปของพระบิดา ตัวอักษร เเละความหมายของคำว่ามหิดล เเละดอกกันภัย ช่วยสร้างมนต์คลังให้กับสถานที่เเห่งนี้ เสมือนเป็นที่เเรกเริ่มรับความเป็นมหิดลเข้าสู่จิตใจของนักศึกษาใหม่ เเละสร้างความหนักเเน่นลงในจิตใจของนักศึกษารุ่นพี่ ผ่านกิจกรรมการรับน้อง 


ถัดเข้ามาจากคอร์ทด้านทิศใต้ ภายในอาคารยังมีคอร์ทที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เป็นพื้นที่ที่มีการสัญจรมากที่สุด เพราะตั้งอยู่เเกนเดียวกับทางเข้าหลัก ทำให้คอร์ทมีความคึกคัก เเละเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างอาคารโดยรอบกับพื้นที่ภายในอาคาร


circulation ในอาคารมีความน่าสนใจมาก เพราะประกอบไปด้วยรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ก็คิดถึงบริบทโดยรอบ เช่น circulation ที่เชื่อมต่อหอพักนักศึกษาจากชั้นล่างไปสู่โถงพระบิดา ทางเชื่อมต่อระหว่างชั้นทางฝั่งตะวันออกที่เป็นที่ตั้งของชมรมต่าง ๆ ในเเต่ละชั้นมีทางเดินที่เข้าถึงกันได้ เเละบันไดที่เชื่อมจากฝั่งทางเข้าหลักตัดตรงไปสู่พื้นที่ชั้น ๓ เเละ ๔ ของอาคารซึ่งเป็นห้องประชุม เเละพื้นที่ทำงานที่ต้องการความสงบ การที่ทาง circulation มีความต่อเนื่องถึงกันทุกทิศทางทั้งเเนวระนาบ เเละเเนวดิ่งทำให้เวลาเข้าไปใช้งานอาคารมีความสะดวกสบายไม่น่าเบื่อ เเละสร้างงความน่าสนใจให้ตัวอาคารอย่างมาก 



สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ อาคารนี้มีขนาดใหญ่มาก เเต่ด้วยการเจาะช่องเปิดเป็นคอร์ท เเละการออกเเบบที่ใช้ชานเป็นตัวเชื่อมต่อ function ในเเต่ละด้านของอาคารทำให้อาคารมีความโปร่ง เเละช่วยลดทอนความเป็นอาคารขนาดใหญ่ลงได้มาก นอกจากนี้ทางเดินในชั้นสองที่พาดผ่านเเนวเเกนทางทิศเหนือใต้ของอาคาร (บริเวณหน้าพระรูปพระบิดา) ก็มีความสูงพอที่จะไม่ให้เกิดความรบกวนเเนวเเกนหลักของอาคารหลังนี้เลย นอกจากนี้การมีช่องเปิดมาก เเละความสูงของเเต่ละชั้นส่งเสริมให้เกิดการถ่ายเทอากาศที่ดีในอากาศ เเม้จะยังมีความร้อนอยู่บ้าง เเต่ถือว่าช่วยทำให้ความร้อนในอาคารเบาบางลงได้มาก

อาคาร MLC เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการออกเเบบอาคารที่คำนึงถึงบริบทโดยรอบโดยเฉพาะเรื่องเเนวเเกนของพื้นที่เดิม อาคารเดิมที่อยู่โดยรอบ เเละความเป็นอาคารในเขตภูมิอากาศเเบบร้อนชื้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะนำมาปรับใช้ในงานออกเเบบพื้นที่โรงเรียนรุ่งอรุณต่อไป
 


No comments: