Thursday, 29 September 2016

Monday, 26 September 2016

ครุสติสถาน เเละ บ้านพี่ปาล์ม สถาปนิกอาศรมศิลป์

ครุสติสถาน อาคารปฏิบัติธรรมของโรงเรียนรุ่งอรุณ 

ครุสติสถานมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ดังนั้นจึงเหมาะกับการเป็นกรณีศึกษาสำหรับงานออกเเบบโรงเรียนรุ่งอรุณที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเข้ามาในบริเวณจะพบว่ามี open space ที่เป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของอาคารเเต่ละหลัง คือเป็นจุดเชื่อมระหว่างอาคารปฏิบัติธรรม (Sermon) ไปยังหอพัก ครัว เเละลานกิจกรรมด้านในพื้นที่ จะเห็นว่าอาคารเเต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วย circulation หลัก ๑ ทางเเละเป็นตัวเชื่อมไปยังลานกิจกรรมเเละกุฏิพระด้านใน

ด้วยการมีพื้นที่จำกัดทำให้ต้องวางอาคารใกล้กันมาก ซึ่งอาจมีการรบกวนกันได้ ดังนั้นผู้ออกเเบบจึงใช้รั้วต้นไม้กั้นระหว่างอาคารเเต่ละหลังเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าใช้ 

การวางอาคารตามตำเเหน่งที่ลมจะพัดเข้าสู่พื้นที่นี้ เเละการเจาะช่องเปิดทำให้มีการไหลเวียบของลมในอาคารดี เเต่ภานในห้องพักต่าง ๆ ยังระบายอากาศได้ไม่ดีนัด เเม้จะมีฝ้าใต้หลังคา เเละการใช้มุ้งลวด เพื่อการระบายอากาศจากพื้นที่ใต้ฝ้าก็เเล้ว 

หอพัก สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม


ภายในศาลาปฏิบัติธรรม (Sermon)


คุณภาพเเสงภายในอาคารค่อนข้างดี เเละสรา้งความรู้สึกให้เกิดความสงบ โดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าในเวลากลางวัน

เเสงที่ผ่านกระจกเข้าสู่อาคารสร้างความสว่าง เเละมุ้งลวดใต้หลังคาเพื่อการระบายอากาศ

อาจมีข้อบกพร่องเรื่องทางเดินจงกรมที่ใกล้กันมาก จนกังวลว่าเมื่อมีผู้ใช้งานมาก ๆ อาจรบกวนสมาธิกันเองได้ เเม้จะมีรั้วต้นไม้กั้น เเต่ว่าต้นไม้ยังไม่หนาทึบพอเเบ่งเเยกอาณาเขตของเเต่ละช่องทางเดินได้ หากว่าต้นไม้โตมากกว่านี้ อาจทำให้ปัญหานี้น้อยลง

บ้านพี่ปาล์ม สถาปนิกของอาศรมศิลป์ 




พี่ปาล์มเล่าว่ามีเเนวคิดในการออกเเบบบ้านหลังนี้ ๔ ประเด็น คือ

๑. ภูมิศาสตร์

พี่ปาล์มออกเเบบบ้านหลังนี้โดยคิดถึงตำเเหน่ง เเละทิศทางของลมมากที่สุด โดยมาสังเกต microclimate จาก site ระหว่างการออกเเบบ เเละใช้ความรู้ที่ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องบ้านพื้นถิ่นของกะเหรี่ยง มาประยุกต์ใช้ในการเเก้ปัญหาความร้อน เเละความชื้น เช่น หลังคาทรงสูง วัสดุที่ไม่อมความร้อน อาทิ ไม้ การเจาะช่องเปิดให้ลมเข้าหน้า ออกหลัง (cross ventilation) ห้องน้ำให้มีการถ่ายเทอากาศดี เเละไม่ชื้น

๒. ความต้องการ เเละวิถีชีวิตของเจ้าของบ้าน

ทุก ๆ เรื่องเช่น การอาบน้ำ การทำกับข้าว การใช้ชีวิตที่คนในบ้านต้องเจอกันทุกวันที่ห้องทานข้าว การใช้ชีวิตในตอนกลางวัน (กลางวันอยู่ใต้ถุน การคืนอยู่บนเรือน) เป็นต้น

๓. วัฒนธรรมความชอบของเจ้าของบ้าน

เจ้าของบ้านเป็นคนชอบสังสรรค์ จึงมีชานไว้เพื่อตอบสนองการใช้งานตามรสนิยม เเละเป็นเด็กบ้านนอกชอบเล่นน้ำฝน ซึ่งการมีชานบ้านเปิดโอกาสให้เจ้าของบ้านได้กลับไปใช้ชีวิตเเบบเดิมสมัยเด็ก ๆ

๔. บ้านต้องให้ความสุข เเละความผ่อนคลายกับเจ้าของบ้าน

ซึ่งพี่ปาล์มได้คำนึงถึงทุกข้อข้างต้น เเล้วประมวลออกมาเป็นเเบบบ้านที่เปิดโอกาสให้ผู็อาศัยทั้งหมดได้พบเจอกัน เเละสร้างบรรยากาศตามเเบบที่เจ้าของบ้านต้องการ โดยเฉพาะการคำนึงถึงว่าอะไรที่ทำให้เจ้าของบ้านเกิดความสุข ก็นำมาใส่ในงานออกเเบบชิ้นนี้


ผู้เขียนชอบ circulation ของบ้านหลังนี้ที่เอาบันไดขึ้นชั้น ๒ ไว้ด้านหลังเเสดงถึงการเป็นส่วน private ที่เข้าถึงได้ยากขึ้น เมื่อเดินขึ้นมาจะเจอชานบ้านที่เปรียบเหมือน transition ก่อนเข้าสู่ห้องรับเเขก ซึ่งภายในมี circulation ที่เชื่อมถึงกันหมด ทั้งจากห้องรับเเขก ห่องนอน ห้องน้ำ เเละครัว เเต่อยากให้มีทางเดินลงไป studio ข้างล่างจากห้องนอน โดยเเอบเอาไว้ น่าจะทำให้ circulation สมบูรณ์มากขึ้น เเต่คิดว่าความตั้งใจของสถาปนิกคือ ความปลอดภัยของเจ้าของบ้าน เนื่องจากตัวอาคารค่อนข้างเปิด (เเบบเรือนไทย) ทำให้การมี circulation ที่เเอบไว้อาจนำมาซึ่งความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเจ้าของบ้าน โดยเจ้าของบ้านได้บอกว่่า เมื่อเข้าไปห้องใต้หลังคา ทำให้สามารถมองเห็นบริเวณรอบบ้านได้ทั้งหมด เป็นการสร้างความปลอดภัย เเละความมั่นใจของเจ้าของบ้าน

Thursday, 15 September 2016

สถาปัตยกรรมเขตร้อนชื่น: บ้านตะวันออก เเละ Super House


บ้านตะวันออก

๙.๙.๕๙


คนมีบ้านเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต เเม้หลายชีวิตจะได้มีโอกาสใช้เวลาส่วนมากในที่ทำงานที่เป็นมาตรฐานทั่วไป เเต่ความรื่นรมณ์ของชีวิตจะเกิดขึ้นได้ทางหนึ่ง เมื่อได้สัมผัสกับบ้าน หรือสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ



บ้านอันเป็นสถานที่พักใจผ่อนกายจึงเป็นสถานที่ที่ควรคำนึง "บ้านของเรา" จะเป็นอย่างไร

บ้านตะวันออก อยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นร่องสวนหมากขนาด ๑ ไร่ ซึ่งอ.ย้งผู้ออกเเบบ เเละเจ้าของบ้านได้ใส่เเนวคิดความเป็นไทยในการออกเเบบ เพื่อให้เกิดภาวะน่าสบายเเก่ผู้อยู่อาศัย คือ อาจารย์ได้ถอดเอาเเนวคิด เเละรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยมาประยุกต์ใช้ในบ้านหลังนี้ เเม้จะไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของความเป็นไทยจากตัวบ้านเลย อาทิ การมีใต้ถุนบ้านที่เเทรกตัวอยู่หลาย ๆ จุดในบ้าน การเชื่อมพื้นที่อาคารในบ้านด้วยชาน ความสูงของหลังคา ทั้งหมดนี้เพื่อการระบายความร้อน เเละความชื้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ การใช้ monumental scale ซึ่งเป็นรสนิยมของเจ้าของบ้าน เเละผู้ออกเเบบส่งเสริมให้เกิดความลดตัวตนของผู้อาศัยอย่างชัดเจน เเละการเน้นความเบาลองของพื้นที่บางส่วน เช่น ชานชั้น ๒ ของบ้านก็เป็นเเนวคิดหนึ่งของสถาปัตยกรรมไทย

ผังชั้น ๑ เเละ ชั้น ๒





พื้นที่รอบนอกตัวอาคารได้รับการจัดการให้ผู้อาศัยนั้นได้อยู่กับธรรมชาติ โดยเน้นให้มีร่มเงาภายในบริเวณบ้าน ตามความคิดที่ว่า "ร่มเงา คือ ความงามตามธรรมชาติของเขตร้อนชื้น" ผู้ออกเเบบให้ความสำคัญกับพื้นที่โล่งทั้งในตัวอาคาร เเละภายนอกอาคาร เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศ เพื่อระบายความร้อน เเละลดความชื้น ซึ่งเราสามารถสัมผัสได้เมื่อเดินเข้าสู่บริเวณบ้านตั้งเเต่ภายนอกอาคาร ซึ่งมีอุณหภูมิเเตกต่างจากข้างนอกอย่างชัดเจน อาจารย์มีความคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องทำให้ความรู้สึกระหว่างที่อยู่นอกบริเวณบ้าน เเละในบริเวณบ้านเเตกต่างกัน ให้ลืมความรู้สึกตอนอยู่ข้างนอกให้ได้


สัดส่วนความสูงของหลังคาในห้องนอน


Monumental Scale


การใช้หลังคาคลุมต่ำทำให้ชั้น ๒ ดูเล็กลง



การจัดวางผังอาคารมีความน่าสนใจที่วางห้องน้ำไว้ตรงจุดที่ร้อนที่สุดของบ้าน เพื่อไล่ความชื้นภายในห้องน้ำ เเละห้องนอน ห้องทำงานอยู่ในจุดที่รับเเดดน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เจ้าของบ้านใช้งานค่อนข้างมาก

ความสูงของหลังคาที่สูงมาก เพื่อให้เกิดความเชื่อมต่อของมวลอากาศภายใน เเละภายนอกอาคาร เเละ การเจาะช่องเปิดขนาดใหญ่เพื่อให้เกิด Negative Pressure ในอาคาร ส่งเสริม Natural Ventilation

การออกเเบบสถาปัตยกรรมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ต้องคำนึงถึง ภูมิอากาศภายนอก เเละภายในพื้นที่ (Macro- and Micro-Climate) การสร้างสิ่งเเวดล้อมเพื่อลดอิทธิพลจากเเสงอาทิตย์ เเละเพิ่มการไหลเวียนของอากาศเพื่อลดความชื้น ทั้งหมดคือ ความเข้าใจในวิถีของธรรมชาติเขตร้อนชื้น เเละโยกย้าย จัดวางสิ่งปลูกสร้างให้สอดคล้องกับสภาพเเวดล้อมในพื้นที่ อีกทั้งยังใช้การออกเเบบ circulation ให้เป็นไปตามมุมมองที่สถาปนิกตั้งใจให้เดินไป เพื่อให้เกิดการซึมซับคุณภาพของสถาปัตยกรรม เเละบริบทโดยรอบอย่างที่สถาปนิกต้องการ จะเห็นได้ว่า circulation ลังนี้ทำให้เกิดการเดินไปในทิศทางที่มีความหมาย เช่น การกำหนดมุมมองที่สวยที่สุดในพื้นที่จากชานที่เชื่อมอาคารที่ชั้น ๑ เเละสามารถเดินวนไปมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  นอกจากนี้ circulation ยังทำหน้าที่พาเราเดินไปพบ space ต่าง ๆ หลาย ๆ เเบบ ที่อาจารย์ย้งได้ชี้ให้เห็นถึง space ที่เห็น เเละเข้าถึงไปจาก circulation หรือ space ที่เห็นเเต่เข้าถึงไม่ได้ เเละ space ที่ไม่เห็น เเต่ต้องเดินไปตาม circulation เเล้วจึงเห็น เช่น การซ่อนส่วน service เอาไว้ด้วยการกำหนด circulation ด้วย โดยเราจะไม่ทันสังเกตส่วน service เลยจนกว่าจะเดินจบ circulation ที่ออกเเบบไว้เป็นอย่างดี

ความสูงของตัวอาคารก็มีความสอดคล้องกับบริบท เช่น สัดส่วนอาคารกับต้นไม้ที่มีความใหญ่โตเหมือนกันสร้างความรู้สึกกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เเละเชื่อมต่อกันจากกิ่งก้านสาขาของต้นจามจุรีที่แผ่ปกคลุมพื้นที่ภายนอกอาคารจนมาจรดกับชายคาชั้น ๒ ที่ยื่นออกไปจากตัวอาคาร

ผู้ออกเเบบยังใช้วัสดุพื้นถิ่นต่าง ๆ เช่น กระเบื้องดินเผาปูพื้น เนื่องจากเเนวคิดว่าวัสดุธรรมชาติ ถ้าดูเเลรักษาดีเขาก็รักเรา เเละให้ความรู้สึกรื่นรมณ์มากกว่าวัสดุอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีการใช้วัสดุเเบบต่าง ๆ เช่น ผนังที่ก่ออิฐฉาบปูน เเละผนังคอนกรีตในการกำหนดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากห้องนอน รวมทั้งการใช้เสาคอนกรีตที่ส่วนหน้า กลาง เเละท้ายอาคาร ที่เป็นการนำเอาระบบสัญลักษณ์มาใช้ในการออกเเบบ เพื่อให้บ้านไม่ใช่เเค่ที่อยู่อาศัย เเต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความหมายในตัวของมันเอง


Super House

Super House เป็นอีกกรณีศึกษาเรื่องการออกเเบบบ้านในเขตภูมิอากาศเเบบร้อนชื้น ซึ่งคงเเนวคิดการใช้ monumental scale เเละการทดลองสร้างความเบาลอยให้เกิดขึ้นกับบ้านที่มีสัดส่วนขนาดมหึมา

การใช้เเนวคิดทางสถาปัตยกรรมไทย เเละการใช้วัสดุใหม่ในการก่อสรา้ง เช่น หลังคา Metal Sheet ที่มีการคายความร้อนเร็วกว่าหลังคากระเบื้อง การเจาะช่องเปิดขนาดใหญ่ ให้เกิดการไหลเวียนของอากาศ การวางทิศทางของตัวอาคาร รวมทั้งการใช้วัสดุพื้น เเละผนังที่คายความร้อนเร็ว เช่น พื้นไม้ เป็นต้น การทดลองยื่นพื้นที่ห้องนอนชั้น ๒ ออกไปโดยไม่มีเสารับ เเต่เป็นระบบถักเหมือนสะพาน (Transfer Truss) เพื่อรับน้ำหนักของอาคาร เเละการถ่วงน้ำหนักของอาคาร (Back Span) 

เช่นเดิม ตัวอาคารมีการวางระบบสัญลักษณ์ไว้ตามจุดต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปนิก เช่น การวาง direction ของพื้นไม้ เพื่อกำหนด circulation เเละ function การใช้ระบบ modular ในการออกเเบบอ เป็นต้น

บ้านตัวอย่างทั้งสอง มีเเนวคิดในการออกเเบบตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิถีชีวิตคนตะวันออกที่ต้องเผชิญกับภูมิอากาศร้อน เเละชื้นอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ การออกเเบบบ้านเพื่อให้เกิดภาวะน่าสบาย ไม่ร้อนเกินไป ไม่ชื้นเกินไป เป็นสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยพึงปราถนา เเละเป็นหน้าที่ของสถาปนิกที่จะผสมผสานความรู้เเละเเนวคิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำงานสถาปัตยกรรมเขตร้อนชื้น

ประเด็นที่สนใจ


ความร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่สบายในการอยู่อาศัยในอาคาร หลังคาเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมชิ้นเเรก ๆ ที่สัมผัสกับความร้อน ซึ่งมีผลอย่างยิ่งในการจัดการภาวะน่าสบายในอาคารไม่เพียงเเต่เรื่องวัสดุ เเละรูปเเบบการจัดวางหลังคาก็น่าจะมีผลต่อการถ่ายเทความร้อนออกจากตัวอาคาร ผู้เขียนจึงมีความสนใจในเรื่องรูปแบบของหลังคาที่เหมาะสมกับการระบายความร้อนในตัวอาคาร  รูปแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเเบบมาตรฐานของหลังคาเท่านั้น เเต่จะทำการค้นคว้าหาวิธีสรา้งรูปแบบใหม่ ๆ ของหลังคาในการระบายความร้อนโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้หลังคาเป็นเเค่องค์ประกอบกันเเดด ลม ฝน อีกต่อไป










Tuesday, 6 September 2016

Arsomsilp: Show & Share

งานอาศรมศิลป์ Show & Share เป็ฯงานประจำปีที่ทางสตูดิโอในอาศรมศิลป์ทั้งหมดจะได้นำเอาผลงานในรอบปีมาเเสดงให้ทุก ๆ คนในอาศรมศิลป์ได้ดู เพื่อเป็นการสรา้งให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสตูดิโอ เเละได้เรียนรู้ รับรู้เรื่องราวการทำงานของผู้อื่น เเละให้เกิดเเรงบันดาลใจในการทำงานจากการได้เรียนรู้เเนวความคิดของผู้อื่น

ในครั้งนี้เป็นครั้งเเรกที่ทางนักศึกษา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทุกชั้นปี ได้เข้าร่วมงาน โดยนักศึกษาชั้นปีที่ ๒ เเละ ๓ ได้ส่งผลงานในรอบปีเข้ามาเพื่อเเสดงให้พี่สถาปนิกได้รับทราบเรื่องราวการเรียนรู้ที่ผ่านมาในหนึ่งปี เเละในทางกลับกันนักศึกษาก็ได้เรียรู้ เเละซึมซับเเนวคิดที่จะนำมาใช้ในการเรียน เเละเเรงบันดาลใจในการทำงานต่อไป

โครงการสองเเห่งที่นำมานี้ เป็นโครงการที่ผู้เขียนคิดว่ามีความคล้ายคลึง เเละมีเเนวความคิดบางอย่างที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานออกเเบบพื้นที่โรงเรียนรุ่งอรุณที่เป็นโจทย์สำหรับวิชาออกเเบบในภาคการศึกษานี้ได้ คือ ๑. โครงการอาคารสำนักงานใหญ่ของ กสทช. เเละ ๒. โครงการอาคารเรียยนรวม (SC3) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากงานที่พี่สถาปนิกนำเสนอ เหมือนเป็นการตอกย้ำในเเนวทางการออกเเบบสถาปัตยกรรมของอาศรมศิลป์ ดังที่ได้ยกตัวอย่างในภาพ ซึ่งการออกเเบบอาคารทั้งสองเเห่งนี้มีโจทย์ที่น่าสนใจ ความคมคายในเเนวความคิด เเละเป้าหมาย วิธีทำงานร่วมกับผู้จ้างให้ได้สถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้จ้าง เเละบริบท 



Thursday, 1 September 2016

ASSIGNMENT I : CASE STUDY

ASSIGNMENT I : CASE STUDY

Learning Landscape


จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ users ในโรงเรียนรุ่งอรุณ ประกอบด้วย คุณครู อนุบาล ประถม เเละมัธยม เเละเจ้าหน้าที่ ได้ข้อสรุปถึงสภาพปัจจุบัน เเละความต้องการในอนาคตในมุมมองของ users กลุ่มนี้ (ภาพที่ ๑)
ภาพที่ ๑ สรุปสภาพปัจจุบันของพื้นที่ เเละความต้องการของ users ต่อพื้นที่นี้ในอนาคต

ในหัวข้อความต้องการที่ได้จากการสัมภาษณ์ ผู้ออกเเบบมีความสนใจในประเด็นเรื่อง พื้นที่การเรียนรู้ในโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนรุ่งอรุณมีวิธีการเรียนการสอนที่เเตกต่างจากสถาบันอื่น ๆ คือ มีการจัดการเรียนรู้เเบบศตวรรษที่ ๒๑ คือ เน้นกระบวนการคิด (Cognitive) การรู้จักตัวเอง (Intrapersonal) เเละ การเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal)  


ภาพที่ ๒ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑


ซึ่งเมื่อได้พิจารณาสภาพปัจจุบันของโรงเรียนรุ่งอรุณโดยรอบเเล้ว พบว่ามีพื้นที่ที่มีศักยภาพที่สูงมากต่อการจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน เเต่ยังไม่ได้ใช้พื้นที่นี้ให้เต็มประสิทธิภาพ โดยได้สังเกตเห็นว่าพื้นที่เรียนรู้นอกห้องเรียนนั้นมีลักษณะเป็นเเนวราบ (horizontal axis) มาก เเต่ยังขาดเรื่องการเรียนรู้ในระดับเรือนยอดไม้ เนื่องจากมีระบบนิเวศที่มีความเเตกต่างกัน จึงเสนอให้ปรับปรุงพื้นที่ให้มีลักษณะเป็นอุทยานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงทั้งเเนวดิ่ง เเละเเนวราบ โดยได้เเรงบันดาลใจจากโครงการ Crow Wood Playscape

ภาพที่ ๓ ผังโครงการ Crow Wood Playscape

การจัดการพื้นที่ในโครงการให้เกิดพื้นที่เรียนรู้ ๒ ระดับ คือ Low-side เเละ High-side ทำให้เกิดพื้นที่เรียนรู้ระดับพื้นราบ เเละระดับเรือนยอด เป็นการขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้เต็มประสิทธิภาพของพื้นที่ ลักษณะการเรียนรู้ที่ความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงสถานะการณ์ในโลกของความเป็นจริง

ภาพที่ ๔ ผัง Outdoor Learning Center, Newark, NJ

โครงการ Outdoor Learning Center เเม้จะไม่มีการเรียนรู้ในเเนวดิ่ง เเต่ลักษณะการวางสพานข้ามบ่อน้ำ เป็นลักษณะที่น่าสนใจที่จะนำมาใช้ในการปรับปรุงพื้นที่โรงเรียน ให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่ใช่อยู่เเค่ขอบเขตบ่อน้ำ เเต่สามารถก้าวเข้าไปสู่พื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ด้วยโครงสรา้งทางสถาปัตยกรรม

Attractive Landscape

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เรื่องการดึงดูดให้ users โดยเฉพาะนักเรียนให้เข้ามาใช้งานพื้นที่ เเละไม่ออกนอกพื้นที่โรงเรียนระหว่างรอผู้ปกครองมารับ เเละให้กลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ นอกจากนักเรียนรู้สึกอยากอยู่ในพื้นที่โรงเรียน จึงได้สนใจประเด็นการสรา้งพื้นที่ให้มีความน่าสนใจด้วยวิธีต่าง อาทิ

การก่อสรา้งอาคารด้วยวัสดุที่มีในดรงเรียนรุ่งอรุณ เเละเด็กนักเรียนสามารถสร้างเองได้ ใช้วัสดุอย่างง่าย ๆ เช่น Microlibrary ของ อินโดนีเซีย ที่ใช้เเกลลอนพลาสติก reuse มาเป็นผนังอาคาร เเละโครงสรา้งอาคารที่เปิดใต้ถุนให้มีความเชื่อมต่อของ space โดยให้ประโยชน์ในเรื่องการให้ร่มเงา เป็นพื้นที่พักคอย เเละทำกิจกรรม เเละเมื่อต้องการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ก็สามารถใช้พื้นที่ร่วมกับ space รอบ ๆ อาคาร ทำให้ดกิดความลื่นไหลของ space มากขึ้น
ภาพที่ ๕ Microlibrary, Surganya Bacaan Taman Bima, Indonesia




ภาพที่ ๖ เเละ ๗ สวนของโมเน่ต์

เลือกกรณีศึกษานี้มาเนื่องจากมีความประทับใจในการสรา้งเเรงดึงดูดของพื้นที่ต่อผู้คน คือ สวนของโมเน่ต์ที่มีพืชพรรณที่เบ่งบานในช่วงเวลาต่าง ๆ ในรอบปี สรา้งความน่าสนใจในพื้นที่ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่น่านำมาใช้ในการจัดการพื้นที่ดรงเรียนรุ่งอรุณ



ภาพที่ ๘ เเละ ๙ การวิเคราะหฺพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายกับพื้นที่โรงเรียนรุ่งอรุณ

งานของ SANAA ชิ้นนี้มีลักษณะพื้นที่ที่ใกล้เคียงโรงเรียนรุ่งอรุณ คือ เป็นพื้นที่ที่ถูกล้อมด้วยทางสัญจรของยานพาหนะต่าง ๆ ซึ่งเมื่อสังเกต circulation จะพบว่ามีการเข้าถึงได้หลายทางเช่นเดียวกัน เเต่พื้นที่ภายในอาคารมีการจัดการให้เกิด common space มากมาย สรา้งพื้นที่ใหม่ ๆ ในการใช้งาน เเละหลังคาที่โปร่งเเสง ทำให้ยังสัมผัสกับะรรมชาติได้ในระดับหนึ่ง เเละหลังคาสูงโปร่งช่วยให้อากาศไหลเวียบถ่ายเทสะดวก เพื่อจุดประสงค์ในการลดความชื้น เเละสรา้งสภาพเเสงให้เหมาะกับการเรียนรู้ เป้นการสรา้งบรรยากาศให้ชวนเข้ามาใช้งานพื้นที่

ข้อเสนอเเนะ

ให้ทบทวนคำว่าระบบนิเวศ หลักการที่ทำให้เกิดระบบนิเวศ เเละนำมาปรับใช้กับการจัดการพื้นที่ในเชิงสถาปัตยกรรม เช่น ระบบนิเวศที่ทำให้เกิดกิจกรรมของผู้คนที่เข้ามาใช้ในพื้นที่ในช่วงเวลาที่เเตกต่างกัน ในสเกลของวัน สัปดาห์ เดือน เเละปี ให้เกิดระบบนิเวศที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เเละสร้างอุทยานการเรียนรู้ผ่านการออกเเบบทางสถาปัตยกรรม อาทิ circle ที่ต่อเนื่องไม่มีจุดขาด สถาปัตยกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ เเละเอื้อประโยชน์ซึ่งกันเเละกัน ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในโรงเรียนรุ่งอรุณ