Wednesday, 2 November 2016

บ้านต้นศิลป์

บ้านต้นศิลป์



ไม่ไกลจากโรงเรียนรุ่งอรุณ เเละสถาบันอาศรมศิลป์ มีหมู่บ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ขนาดย่อม ๆ ซึ่งภายในหมู่บ้านมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เป็นบ้านหลังหนึ่งของสถาปนิกท่านหนึ่ง "บ้านต้นศิลป์" ซึ่งได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมเหรียญทอง ประเภทบ้าน จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์



อ. ชาตรี ลดาลลิตสกุล (อ.โหน่ง) สถาปนิกผู้ก่อตั้งสตูดิโอต้นศิลป์ เป็นทั้งเจ้าของบ้าน เเละผู้ออกเเบบ บ้านต้นศิลป์หลังเปิดดอกาสให้นักศึกษาจากสถาบันอาศรมศิลป์ได้เข้าชมบ้าน เเละซักถามข้อสงสัย เเลกเปลี่ยนความรู้ในอาคารที่มีทั้งศาสตร์ เเละศิลป์ที่ผสมผสานกันเกิดเป็นสุนทรียะสำหรับผู้อยู่อาศัย เเละผู้เยี่ยมเยียน 


บ้านต้นศิลป์มีลักษณะเป็น Home Office คือมีส่วนทำงาน เเละพักอาศัยอยู่ในตัวอาคารเดียวกัน เมื่อหันหน้าเข้าตัวบ้าน ส่วนพักอาศัย เเละที่ทำงานจะเเยกออกเป็นสองฝั่ง เชื่อมต่อด้วยชานขนาดใหญ่ (span 10 เมตร) เป็น common area ที่ใช้งานได้หลากหลาย เป็น gray space หรือ transition ระหว่างภายนอก เเละภายในบ้าน พวกเรานั่งฟัง อ.โหน่งเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ เเละการออกเเบบก่อสร้างบ้านหลังนี้ที่ชานนี้ การออกเเบบนั้นมีสิ่งต้องคำนึงถึงอยู่สองอย่าง คือ เนื้อหาของสถาปัตยกรรม เเละพลังของสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน เช่น การสร้าง space ด้วยเนื้อหา หรือภาษาทางสถาปัตยกรรม ให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึกกับผู้ใช้งาน เเละบุคคลที่ผ่านเข้ามา




ตัวบ้านหันด้านยาวตามเเนวทิศเหนือใต้ หันหน้าบ้านไปทางทิศใต้ รับลมที่จะไหลมาตามทิศทั้งสอง ในช่วงเวลาที่เเตกต่างกันในรอบปี ขณะที่นั่งอยู่มีลมพัดตลอดทำให้เกิดความเย็นสบาย น่าจะเป็นเพราะขนาดความกว้างของชาน เเละทิศทางของอาคาร รวมถึงการวางบ่อน้ำขนาดกลาง ๆ ไว้ทิศทางที่กระเเสลมพัดผ่าน ช่วยให้ลมหอบเอาความเย็นที่ได้จากไอน้ำเข้าสู่พื้นที่ สร้างความเย็นสบายเมื่อเข้ามาใช้พื้นที่

ขณะที่นั่งฟังบรรยายอยู่ เเสงเเดดที่ส่องกระทบผืนน้ำก็สะท้อนไปบนฝ้าเพดานคอนกรีต เเสงสะท้อนที่เรืองรองระยิบระยับ ทำให้เกิดสุนทรียภาพในการใช้พื้นที่ในอีกทางหนึ่ง หากมาในจังหวะวันเวลาที่ดีที่เเสงอาทิตย์จะทอดผ่านร่มไม้ที่ปลูกอยู่โดยรอบชาน เกิดเงาทาบทับไปบนผนังคอนกรีตด้วยเเล้ว นับเป็นเสน่ห์อันสมบูรณ์มากขึ้นของพื้นที่ อันเกิดจากการทำงานร่วมกันของการจัดวาง วัสดุ สิ่งเเวดล้อม เเละเเสง



ชั้นด้านบนของชานนี้เป็นห้องทำงาน หรือที่ตั้งของสตูดิโอต้นศิลป์ อ.โหน่ง ต้องการให้เห็นวิวภายนอกได้ในมุมกว้าง ไม่มีอะไรมาบดบังทัศนียภาพ เเละจงใจวางต้นยูงทองไว้หน้าบ้านเป็นจุดหมายตาที่เมื่อนั่งทำงานอยู่ก็สามารถมองเห็นได้ตลอดเเละเห็นได้อย่างอย่างทั่วถึงทั้งต้น อีกทั้งยังออกเเบบบ้านกระทุ้งที่ใช้เท้าเปิดให้กลิ่นอายของเรือนพื้นถิ่น ที่อ.โหน่งบอกว่าเป็นการออกเเบบตามพื้นเพท้องถิ่นของบ้านเกิด






เมื่อพูดถึงกลิ่นอายของความเป็นบ้านพื้นถิ่นก็สามารถสังเกตเห็นได้มากมายจากตัวบ้าน เช่น ช่องกันเเมว ฝาสำรวจ ใต้ถุนบ้าน หรือพื้นที่ common area ในบ้าน โดยเฉพาะชั้นบนสุดของตัวบ้านที่เชื่อมสองฝั่งของบ้านด้วยห้องทำงานศิลปะ เมื่อเข้าไปใช้งานเเล้วให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนชานบ้าน เพราะเเม้จะอยู่ในตัวอคาร เเต่ก็ให้ความรู้สึกสัมผัสได้กับภายนอกอาคารค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเเสงเเดดที่ส่องเข้ามาเนื่องจากชายคาที่ไม่ยาวเกินไป เเละฝนที่สาดเข้ามาได้ถึงภายในบางส่วน กลิ่นของบรรยากาศที่เปลี่ยนไปต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งให้ผู้เขียนสัมผัสถึงสุนทรียภาพของพื้นที่ส่วนนี้อย่างเป็นปัจเจก ซึ่งทำให้เห็นกายภาพของอาคาร เเละการมีอยู่ของลมหายใจของสถาปัตยกรรม

  

จากการได้ฟัง เเละซักถาม อ.โหน่ง ผู้เขียนมีความสนใจในเรื่องสุนทรียศาสตร์ในงานสถาปัตยกรรมมากขึ้น เเละเห็นถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์ความงาม ทั้งนี้การเรียนรู้ให้เข้าถึงความงามเเม้ว่าจะต้องใช้เวลามาก เเละเป็นการเรียนรู้ทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม "หนทางหมื่นลี้เริ่มที่ก้าวเเรก" การทำงานอย่างจริงจัง พิจารณาอย่างถ้วนถี่ ความใส่ใจ เเละใฝ่รู้ คือกุญเเจสำคัญของการเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ เพียงเเต่ต้องใช้การรับรู้ในสภาวะหนึ่งผ่านประสบการณ์การทำงาน เเละการใช้ชีวิต เหมือนที่ อ.โหน่งได้เเสดงให้เห็นจากบ้านหลังนี้

สุดท้าย อ.โหน่ง ให้ข้อชี้เเนะในการทำงานว่า การออกเเบบที่ดีนั้นประกอบด้วย ๔ ปัจจัยหลัก คือ

๑. การวิเคาระห์
๒. การกำหนดเป้าหมาย
๓. เเนวคิดในการออกเเบบ
๔. ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่ใช้ในงานออกเเบบ

การออกเเบบเพื่อเป้าหมายหนึ่ง ๆ มีวิธีเเละเเนวทางมากมาย เช่น การออกเเบบ place ที่ทำให้เกิดความสงบ สามารถใช้สิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น เสียงของธรรมชาติ เเสง ฯลฯ

ในการสร้างความงามให้เกิดขึ้นในสถาปัตยกรรมเป็นเป้าหมายสูงสุดของสถาปนิก หรือนักออกเเบบ

ความถูกต้อง -> ความน่าสนใจ -> ความจริง -> ความงาม

งานออกเเบบที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันสามารถสร้างจิตวิญญาณของงานได้ง่าย ซึ่งเกิดจากความเป็นสุนทรียะจากวิถีชีวิต วัสดุ ธรรมชาติ เเละความละเอียดอ่อนของ sense ของผู้ออกเเบบ





Monday, 24 October 2016

Comments: Schematic Design Pin-Up

รวมข้อเสนอเเนะจาก Pin-Up วันที่ ๑๘ ต.ค. ๒๕๕๙

จากการนำเสนอเมื่อวันดังกล่าว สามารถสรุปข้อเสนอเเนะจากลูกค้า เเละ อ. ธีรพล นิยม ได้ดังนี้

๑. รูปแบบอาคาร

อยากให้ออกเเบบอาคารเป็นอาคารสมัยใหม่ ซึ่งเเสดงความเป็นรุ่งอรุณ

อาคารโรงช้างอยากให้ออกเเบบพื้นที่ให้เกิดเป็นพื้นที่ที่มีความสนุก ลองพยายามเน้นความมีอยู่ของสิ่งปลูกสร้างเดิมด้วยสิ่งปลูกสร้างใหม่

เรือนศิลปะสามารถรื้อถอนได้ เเละออกเเบบให้เเต่ละมุมของ Space มีความน่าตื่นเต้น มีความเคลื่อนไหวทางอารมณ์ อย่าให้อิทธิพลมาเป็นเครื่องพันธนาการความคิดสรา้งสรรค์

ออกเเบบรูปแบบอาคารที่ตอบโจทย์การใช้งาน รูปแบบผัง ผังอาคาร ลาน เเละรูปแบบอาคาร เรามี Idea ในหัวยังไงบ้างจากที่ได้รับ Comments ไปเเล้ว

๒. Space

ผู้บริหารต้องให้เปิดพื้นที่ให้เห็นบึง ต้องงานออกเเบบที่ดูสนุก ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม

ควรจะลอง define พื้นที่ว่าง (Space) ว่าต้องการให้เกิดอารมณ์เเบบไหน เพราะเหตุใด อาจจะลอง Organic Space

ออกเเบบพื้นที่ที่รองรับกิจกรรมที่ซ้อนทับกัน โดยช่วงเวลา

การสร้าง Space ต้องคำนึงถึง จำนวนคน ประเภทของกิจกรรม เเละรูปแบบของ Space ที่จะใช้งาน 

ทำ gallery ที่เป็นเหมือน sculpture เเละเป็น gallery ทั้งลาน อาจจะมี gallery ตั้งเเต่ด้านหน้าโรงเรียน

กระบวนการที่ทำให้เกิดการ appreciate space โดยการใช้เวลาเเละสถานที่

การตีความ Space ต้องมีการเพิ่ม Guide เเละ Layer การออกเเบบเรื่องการระเบิด Space ความพอดีของ Area Requirement

เรื่องส่วน Service ต้องคิดถึงเรื่อง Routing ของเเต่ละร้านค้า

Sense of Arrival มีความสำคัญมาก ๆ

การเดินผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ไปสู่ Climax

๓. Presentation

การ present ต้องพูดให้ผู้ฟังประทับใจให้เร็ว

๔. ผัง

งานผังทำให้คนเกิดความผูกพันกับ Space ได้ เเละสัมพันธืกับวิถีชีวิต

ผังที่เขียนต้องเขียนให้ทะลุ เเละได้อารมณ์ งานสถาปัตยกรรมต้องทำให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ออกเเบบต้องการให้ users รู้สึก

๕. อื่น ๆ

ลองปฏิวัติอาจารย์!!!

ต้องการให้เกิด creative มากกว่านี้ 

ต้องมีจุดที่สะกด Users

สิ่งเเรกที่อยากให้เกิดความประทับใจ คือ ศิลปะ กับธรรมชาติ

เปลี่ยนวิธีการ drop-off ใหม่ เด็กโตหน้าโรงเรียน เด็กเล็กภายในดรงเรียน การเเลกที่จอดรถกับทางเดินของคน เนื่องจากเห็นรถเยอะ ๆ เเล้วให้ความรู้สึกที่เป็นอุตสาหกรรมเกินไป อยากให้ได้ความรู้สึก เเละเห็นธรรมชาติมากกว่านี้

สถาปัยกรรมต้องมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิต

โรงช้างเหมือนเป็น Reception ของโรงเรียน เป็นสัญลักษณ์ เเต่ยังไม่ใช่ความสำคัญสูงสุด 






Wednesday, 12 October 2016

MAHIDOL LEARNING CENTER

จิตวิญญาณของความเป็นมหิดล

อาคารที่ต้อนรับชาวมหิดลด้วยสัญลักษณ์ที่คุ้นเคย ทั้งอนุสาวรีย์พราะบรมราชชนก ปรัชญาของมหิดลที่แปลผ่านตัวอักษร เเละดอกกันภัย ๓ สัญลักษณ์ที่สำคัญถูกจัดวางอยู่บนเเกนหลักของอาคาร ช่วยสร้างบรรยากาศของความเป็นมหิดลภายในอาคาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนฉงนสงสัยตั้งเเต่ได้อ่านเเนวคิดวิธีการออกเเบบอาคารหลังนี้ โดยมีเป้าหมายที่เเสดงถึง "จิตวิญญาณ" ของชาวมหิดล เเละได้เห็นวิธีการใส่ "วิญญาณ" เข้าไปในกายภาพให้เกิดเป็น "สถาปัตยกรรม" ที่มีความหมายต่อผู้ใช้งาน

ศูนย์กลางมหาวิทยาลัยเเห่งนี้ถูกวางอยู่บนเเกนหลัก ๒ เเกน คือ ทิศเหนือ-ใต้ที่อยู่บนเเนวเดียวกับ มหิดลสิทธาคาร เเละทิศตะวันออก-ตกบนเเกนเดียวกับ หอพักนักศึกษา เเละอาคารเรียน ผู้ออกเเบบจงใจให้ทางเข้าออกหลักของอาคารอยู่ทางฝั่งหอพักนักศึกษา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการใช้งานตลอดเวลา เเม้กระทั่งช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งความหนาเเน่นในการใช้งานเเตกต่างจากทางฝั่งอาคารเรียน เเละทิศทางอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

 บันไดบนทางเข้าหลักนี้ ยังเชิญชวนให้เดินขึ้นไปสู่ชั้นสองที่จัดให้เป็น Hall of Fame เเละโถงพระบิดา ซึ่งผู้ออกเเบบต้องการให้นักศึกษาได้เรียนรู้จุดเริ่มต้น เเละความเป็นมหิดล

ภายในตัวอาคารมีการเเบ่งคอร์ทออกเป็นสองส่วน คือคอร์ทด้านทิศใต้ที่มีขนาดใหญ่เเละมีการใช้งานเเบบ public เป็นที่ชุมนุมการรับน้อง การล้อมคอร์ทด้วยสัญลักษณ์ความเป็นมหิดล คือ พระรูปของพระบิดา ตัวอักษร เเละความหมายของคำว่ามหิดล เเละดอกกันภัย ช่วยสร้างมนต์คลังให้กับสถานที่เเห่งนี้ เสมือนเป็นที่เเรกเริ่มรับความเป็นมหิดลเข้าสู่จิตใจของนักศึกษาใหม่ เเละสร้างความหนักเเน่นลงในจิตใจของนักศึกษารุ่นพี่ ผ่านกิจกรรมการรับน้อง 


ถัดเข้ามาจากคอร์ทด้านทิศใต้ ภายในอาคารยังมีคอร์ทที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เป็นพื้นที่ที่มีการสัญจรมากที่สุด เพราะตั้งอยู่เเกนเดียวกับทางเข้าหลัก ทำให้คอร์ทมีความคึกคัก เเละเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างอาคารโดยรอบกับพื้นที่ภายในอาคาร


circulation ในอาคารมีความน่าสนใจมาก เพราะประกอบไปด้วยรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ก็คิดถึงบริบทโดยรอบ เช่น circulation ที่เชื่อมต่อหอพักนักศึกษาจากชั้นล่างไปสู่โถงพระบิดา ทางเชื่อมต่อระหว่างชั้นทางฝั่งตะวันออกที่เป็นที่ตั้งของชมรมต่าง ๆ ในเเต่ละชั้นมีทางเดินที่เข้าถึงกันได้ เเละบันไดที่เชื่อมจากฝั่งทางเข้าหลักตัดตรงไปสู่พื้นที่ชั้น ๓ เเละ ๔ ของอาคารซึ่งเป็นห้องประชุม เเละพื้นที่ทำงานที่ต้องการความสงบ การที่ทาง circulation มีความต่อเนื่องถึงกันทุกทิศทางทั้งเเนวระนาบ เเละเเนวดิ่งทำให้เวลาเข้าไปใช้งานอาคารมีความสะดวกสบายไม่น่าเบื่อ เเละสร้างงความน่าสนใจให้ตัวอาคารอย่างมาก 



สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ อาคารนี้มีขนาดใหญ่มาก เเต่ด้วยการเจาะช่องเปิดเป็นคอร์ท เเละการออกเเบบที่ใช้ชานเป็นตัวเชื่อมต่อ function ในเเต่ละด้านของอาคารทำให้อาคารมีความโปร่ง เเละช่วยลดทอนความเป็นอาคารขนาดใหญ่ลงได้มาก นอกจากนี้ทางเดินในชั้นสองที่พาดผ่านเเนวเเกนทางทิศเหนือใต้ของอาคาร (บริเวณหน้าพระรูปพระบิดา) ก็มีความสูงพอที่จะไม่ให้เกิดความรบกวนเเนวเเกนหลักของอาคารหลังนี้เลย นอกจากนี้การมีช่องเปิดมาก เเละความสูงของเเต่ละชั้นส่งเสริมให้เกิดการถ่ายเทอากาศที่ดีในอากาศ เเม้จะยังมีความร้อนอยู่บ้าง เเต่ถือว่าช่วยทำให้ความร้อนในอาคารเบาบางลงได้มาก

อาคาร MLC เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการออกเเบบอาคารที่คำนึงถึงบริบทโดยรอบโดยเฉพาะเรื่องเเนวเเกนของพื้นที่เดิม อาคารเดิมที่อยู่โดยรอบ เเละความเป็นอาคารในเขตภูมิอากาศเเบบร้อนชื้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะนำมาปรับใช้ในงานออกเเบบพื้นที่โรงเรียนรุ่งอรุณต่อไป
 


Thursday, 29 September 2016

Monday, 26 September 2016

ครุสติสถาน เเละ บ้านพี่ปาล์ม สถาปนิกอาศรมศิลป์

ครุสติสถาน อาคารปฏิบัติธรรมของโรงเรียนรุ่งอรุณ 

ครุสติสถานมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ดังนั้นจึงเหมาะกับการเป็นกรณีศึกษาสำหรับงานออกเเบบโรงเรียนรุ่งอรุณที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเข้ามาในบริเวณจะพบว่ามี open space ที่เป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของอาคารเเต่ละหลัง คือเป็นจุดเชื่อมระหว่างอาคารปฏิบัติธรรม (Sermon) ไปยังหอพัก ครัว เเละลานกิจกรรมด้านในพื้นที่ จะเห็นว่าอาคารเเต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วย circulation หลัก ๑ ทางเเละเป็นตัวเชื่อมไปยังลานกิจกรรมเเละกุฏิพระด้านใน

ด้วยการมีพื้นที่จำกัดทำให้ต้องวางอาคารใกล้กันมาก ซึ่งอาจมีการรบกวนกันได้ ดังนั้นผู้ออกเเบบจึงใช้รั้วต้นไม้กั้นระหว่างอาคารเเต่ละหลังเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าใช้ 

การวางอาคารตามตำเเหน่งที่ลมจะพัดเข้าสู่พื้นที่นี้ เเละการเจาะช่องเปิดทำให้มีการไหลเวียบของลมในอาคารดี เเต่ภานในห้องพักต่าง ๆ ยังระบายอากาศได้ไม่ดีนัด เเม้จะมีฝ้าใต้หลังคา เเละการใช้มุ้งลวด เพื่อการระบายอากาศจากพื้นที่ใต้ฝ้าก็เเล้ว 

หอพัก สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม


ภายในศาลาปฏิบัติธรรม (Sermon)


คุณภาพเเสงภายในอาคารค่อนข้างดี เเละสรา้งความรู้สึกให้เกิดความสงบ โดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าในเวลากลางวัน

เเสงที่ผ่านกระจกเข้าสู่อาคารสร้างความสว่าง เเละมุ้งลวดใต้หลังคาเพื่อการระบายอากาศ

อาจมีข้อบกพร่องเรื่องทางเดินจงกรมที่ใกล้กันมาก จนกังวลว่าเมื่อมีผู้ใช้งานมาก ๆ อาจรบกวนสมาธิกันเองได้ เเม้จะมีรั้วต้นไม้กั้น เเต่ว่าต้นไม้ยังไม่หนาทึบพอเเบ่งเเยกอาณาเขตของเเต่ละช่องทางเดินได้ หากว่าต้นไม้โตมากกว่านี้ อาจทำให้ปัญหานี้น้อยลง

บ้านพี่ปาล์ม สถาปนิกของอาศรมศิลป์ 




พี่ปาล์มเล่าว่ามีเเนวคิดในการออกเเบบบ้านหลังนี้ ๔ ประเด็น คือ

๑. ภูมิศาสตร์

พี่ปาล์มออกเเบบบ้านหลังนี้โดยคิดถึงตำเเหน่ง เเละทิศทางของลมมากที่สุด โดยมาสังเกต microclimate จาก site ระหว่างการออกเเบบ เเละใช้ความรู้ที่ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องบ้านพื้นถิ่นของกะเหรี่ยง มาประยุกต์ใช้ในการเเก้ปัญหาความร้อน เเละความชื้น เช่น หลังคาทรงสูง วัสดุที่ไม่อมความร้อน อาทิ ไม้ การเจาะช่องเปิดให้ลมเข้าหน้า ออกหลัง (cross ventilation) ห้องน้ำให้มีการถ่ายเทอากาศดี เเละไม่ชื้น

๒. ความต้องการ เเละวิถีชีวิตของเจ้าของบ้าน

ทุก ๆ เรื่องเช่น การอาบน้ำ การทำกับข้าว การใช้ชีวิตที่คนในบ้านต้องเจอกันทุกวันที่ห้องทานข้าว การใช้ชีวิตในตอนกลางวัน (กลางวันอยู่ใต้ถุน การคืนอยู่บนเรือน) เป็นต้น

๓. วัฒนธรรมความชอบของเจ้าของบ้าน

เจ้าของบ้านเป็นคนชอบสังสรรค์ จึงมีชานไว้เพื่อตอบสนองการใช้งานตามรสนิยม เเละเป็นเด็กบ้านนอกชอบเล่นน้ำฝน ซึ่งการมีชานบ้านเปิดโอกาสให้เจ้าของบ้านได้กลับไปใช้ชีวิตเเบบเดิมสมัยเด็ก ๆ

๔. บ้านต้องให้ความสุข เเละความผ่อนคลายกับเจ้าของบ้าน

ซึ่งพี่ปาล์มได้คำนึงถึงทุกข้อข้างต้น เเล้วประมวลออกมาเป็นเเบบบ้านที่เปิดโอกาสให้ผู็อาศัยทั้งหมดได้พบเจอกัน เเละสร้างบรรยากาศตามเเบบที่เจ้าของบ้านต้องการ โดยเฉพาะการคำนึงถึงว่าอะไรที่ทำให้เจ้าของบ้านเกิดความสุข ก็นำมาใส่ในงานออกเเบบชิ้นนี้


ผู้เขียนชอบ circulation ของบ้านหลังนี้ที่เอาบันไดขึ้นชั้น ๒ ไว้ด้านหลังเเสดงถึงการเป็นส่วน private ที่เข้าถึงได้ยากขึ้น เมื่อเดินขึ้นมาจะเจอชานบ้านที่เปรียบเหมือน transition ก่อนเข้าสู่ห้องรับเเขก ซึ่งภายในมี circulation ที่เชื่อมถึงกันหมด ทั้งจากห้องรับเเขก ห่องนอน ห้องน้ำ เเละครัว เเต่อยากให้มีทางเดินลงไป studio ข้างล่างจากห้องนอน โดยเเอบเอาไว้ น่าจะทำให้ circulation สมบูรณ์มากขึ้น เเต่คิดว่าความตั้งใจของสถาปนิกคือ ความปลอดภัยของเจ้าของบ้าน เนื่องจากตัวอาคารค่อนข้างเปิด (เเบบเรือนไทย) ทำให้การมี circulation ที่เเอบไว้อาจนำมาซึ่งความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเจ้าของบ้าน โดยเจ้าของบ้านได้บอกว่่า เมื่อเข้าไปห้องใต้หลังคา ทำให้สามารถมองเห็นบริเวณรอบบ้านได้ทั้งหมด เป็นการสร้างความปลอดภัย เเละความมั่นใจของเจ้าของบ้าน

Thursday, 15 September 2016

สถาปัตยกรรมเขตร้อนชื่น: บ้านตะวันออก เเละ Super House


บ้านตะวันออก

๙.๙.๕๙


คนมีบ้านเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต เเม้หลายชีวิตจะได้มีโอกาสใช้เวลาส่วนมากในที่ทำงานที่เป็นมาตรฐานทั่วไป เเต่ความรื่นรมณ์ของชีวิตจะเกิดขึ้นได้ทางหนึ่ง เมื่อได้สัมผัสกับบ้าน หรือสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ



บ้านอันเป็นสถานที่พักใจผ่อนกายจึงเป็นสถานที่ที่ควรคำนึง "บ้านของเรา" จะเป็นอย่างไร

บ้านตะวันออก อยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นร่องสวนหมากขนาด ๑ ไร่ ซึ่งอ.ย้งผู้ออกเเบบ เเละเจ้าของบ้านได้ใส่เเนวคิดความเป็นไทยในการออกเเบบ เพื่อให้เกิดภาวะน่าสบายเเก่ผู้อยู่อาศัย คือ อาจารย์ได้ถอดเอาเเนวคิด เเละรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยมาประยุกต์ใช้ในบ้านหลังนี้ เเม้จะไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของความเป็นไทยจากตัวบ้านเลย อาทิ การมีใต้ถุนบ้านที่เเทรกตัวอยู่หลาย ๆ จุดในบ้าน การเชื่อมพื้นที่อาคารในบ้านด้วยชาน ความสูงของหลังคา ทั้งหมดนี้เพื่อการระบายความร้อน เเละความชื้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ การใช้ monumental scale ซึ่งเป็นรสนิยมของเจ้าของบ้าน เเละผู้ออกเเบบส่งเสริมให้เกิดความลดตัวตนของผู้อาศัยอย่างชัดเจน เเละการเน้นความเบาลองของพื้นที่บางส่วน เช่น ชานชั้น ๒ ของบ้านก็เป็นเเนวคิดหนึ่งของสถาปัตยกรรมไทย

ผังชั้น ๑ เเละ ชั้น ๒





พื้นที่รอบนอกตัวอาคารได้รับการจัดการให้ผู้อาศัยนั้นได้อยู่กับธรรมชาติ โดยเน้นให้มีร่มเงาภายในบริเวณบ้าน ตามความคิดที่ว่า "ร่มเงา คือ ความงามตามธรรมชาติของเขตร้อนชื้น" ผู้ออกเเบบให้ความสำคัญกับพื้นที่โล่งทั้งในตัวอาคาร เเละภายนอกอาคาร เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศ เพื่อระบายความร้อน เเละลดความชื้น ซึ่งเราสามารถสัมผัสได้เมื่อเดินเข้าสู่บริเวณบ้านตั้งเเต่ภายนอกอาคาร ซึ่งมีอุณหภูมิเเตกต่างจากข้างนอกอย่างชัดเจน อาจารย์มีความคิดว่าบ้านหลังนี้ต้องทำให้ความรู้สึกระหว่างที่อยู่นอกบริเวณบ้าน เเละในบริเวณบ้านเเตกต่างกัน ให้ลืมความรู้สึกตอนอยู่ข้างนอกให้ได้


สัดส่วนความสูงของหลังคาในห้องนอน


Monumental Scale


การใช้หลังคาคลุมต่ำทำให้ชั้น ๒ ดูเล็กลง



การจัดวางผังอาคารมีความน่าสนใจที่วางห้องน้ำไว้ตรงจุดที่ร้อนที่สุดของบ้าน เพื่อไล่ความชื้นภายในห้องน้ำ เเละห้องนอน ห้องทำงานอยู่ในจุดที่รับเเดดน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เจ้าของบ้านใช้งานค่อนข้างมาก

ความสูงของหลังคาที่สูงมาก เพื่อให้เกิดความเชื่อมต่อของมวลอากาศภายใน เเละภายนอกอาคาร เเละ การเจาะช่องเปิดขนาดใหญ่เพื่อให้เกิด Negative Pressure ในอาคาร ส่งเสริม Natural Ventilation

การออกเเบบสถาปัตยกรรมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ต้องคำนึงถึง ภูมิอากาศภายนอก เเละภายในพื้นที่ (Macro- and Micro-Climate) การสร้างสิ่งเเวดล้อมเพื่อลดอิทธิพลจากเเสงอาทิตย์ เเละเพิ่มการไหลเวียนของอากาศเพื่อลดความชื้น ทั้งหมดคือ ความเข้าใจในวิถีของธรรมชาติเขตร้อนชื้น เเละโยกย้าย จัดวางสิ่งปลูกสร้างให้สอดคล้องกับสภาพเเวดล้อมในพื้นที่ อีกทั้งยังใช้การออกเเบบ circulation ให้เป็นไปตามมุมมองที่สถาปนิกตั้งใจให้เดินไป เพื่อให้เกิดการซึมซับคุณภาพของสถาปัตยกรรม เเละบริบทโดยรอบอย่างที่สถาปนิกต้องการ จะเห็นได้ว่า circulation ลังนี้ทำให้เกิดการเดินไปในทิศทางที่มีความหมาย เช่น การกำหนดมุมมองที่สวยที่สุดในพื้นที่จากชานที่เชื่อมอาคารที่ชั้น ๑ เเละสามารถเดินวนไปมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  นอกจากนี้ circulation ยังทำหน้าที่พาเราเดินไปพบ space ต่าง ๆ หลาย ๆ เเบบ ที่อาจารย์ย้งได้ชี้ให้เห็นถึง space ที่เห็น เเละเข้าถึงไปจาก circulation หรือ space ที่เห็นเเต่เข้าถึงไม่ได้ เเละ space ที่ไม่เห็น เเต่ต้องเดินไปตาม circulation เเล้วจึงเห็น เช่น การซ่อนส่วน service เอาไว้ด้วยการกำหนด circulation ด้วย โดยเราจะไม่ทันสังเกตส่วน service เลยจนกว่าจะเดินจบ circulation ที่ออกเเบบไว้เป็นอย่างดี

ความสูงของตัวอาคารก็มีความสอดคล้องกับบริบท เช่น สัดส่วนอาคารกับต้นไม้ที่มีความใหญ่โตเหมือนกันสร้างความรู้สึกกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เเละเชื่อมต่อกันจากกิ่งก้านสาขาของต้นจามจุรีที่แผ่ปกคลุมพื้นที่ภายนอกอาคารจนมาจรดกับชายคาชั้น ๒ ที่ยื่นออกไปจากตัวอาคาร

ผู้ออกเเบบยังใช้วัสดุพื้นถิ่นต่าง ๆ เช่น กระเบื้องดินเผาปูพื้น เนื่องจากเเนวคิดว่าวัสดุธรรมชาติ ถ้าดูเเลรักษาดีเขาก็รักเรา เเละให้ความรู้สึกรื่นรมณ์มากกว่าวัสดุอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีการใช้วัสดุเเบบต่าง ๆ เช่น ผนังที่ก่ออิฐฉาบปูน เเละผนังคอนกรีตในการกำหนดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากห้องนอน รวมทั้งการใช้เสาคอนกรีตที่ส่วนหน้า กลาง เเละท้ายอาคาร ที่เป็นการนำเอาระบบสัญลักษณ์มาใช้ในการออกเเบบ เพื่อให้บ้านไม่ใช่เเค่ที่อยู่อาศัย เเต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความหมายในตัวของมันเอง


Super House

Super House เป็นอีกกรณีศึกษาเรื่องการออกเเบบบ้านในเขตภูมิอากาศเเบบร้อนชื้น ซึ่งคงเเนวคิดการใช้ monumental scale เเละการทดลองสร้างความเบาลอยให้เกิดขึ้นกับบ้านที่มีสัดส่วนขนาดมหึมา

การใช้เเนวคิดทางสถาปัตยกรรมไทย เเละการใช้วัสดุใหม่ในการก่อสรา้ง เช่น หลังคา Metal Sheet ที่มีการคายความร้อนเร็วกว่าหลังคากระเบื้อง การเจาะช่องเปิดขนาดใหญ่ ให้เกิดการไหลเวียนของอากาศ การวางทิศทางของตัวอาคาร รวมทั้งการใช้วัสดุพื้น เเละผนังที่คายความร้อนเร็ว เช่น พื้นไม้ เป็นต้น การทดลองยื่นพื้นที่ห้องนอนชั้น ๒ ออกไปโดยไม่มีเสารับ เเต่เป็นระบบถักเหมือนสะพาน (Transfer Truss) เพื่อรับน้ำหนักของอาคาร เเละการถ่วงน้ำหนักของอาคาร (Back Span) 

เช่นเดิม ตัวอาคารมีการวางระบบสัญลักษณ์ไว้ตามจุดต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปนิก เช่น การวาง direction ของพื้นไม้ เพื่อกำหนด circulation เเละ function การใช้ระบบ modular ในการออกเเบบอ เป็นต้น

บ้านตัวอย่างทั้งสอง มีเเนวคิดในการออกเเบบตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิถีชีวิตคนตะวันออกที่ต้องเผชิญกับภูมิอากาศร้อน เเละชื้นอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ การออกเเบบบ้านเพื่อให้เกิดภาวะน่าสบาย ไม่ร้อนเกินไป ไม่ชื้นเกินไป เป็นสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยพึงปราถนา เเละเป็นหน้าที่ของสถาปนิกที่จะผสมผสานความรู้เเละเเนวคิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำงานสถาปัตยกรรมเขตร้อนชื้น

ประเด็นที่สนใจ


ความร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่สบายในการอยู่อาศัยในอาคาร หลังคาเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมชิ้นเเรก ๆ ที่สัมผัสกับความร้อน ซึ่งมีผลอย่างยิ่งในการจัดการภาวะน่าสบายในอาคารไม่เพียงเเต่เรื่องวัสดุ เเละรูปเเบบการจัดวางหลังคาก็น่าจะมีผลต่อการถ่ายเทความร้อนออกจากตัวอาคาร ผู้เขียนจึงมีความสนใจในเรื่องรูปแบบของหลังคาที่เหมาะสมกับการระบายความร้อนในตัวอาคาร  รูปแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเเบบมาตรฐานของหลังคาเท่านั้น เเต่จะทำการค้นคว้าหาวิธีสรา้งรูปแบบใหม่ ๆ ของหลังคาในการระบายความร้อนโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้หลังคาเป็นเเค่องค์ประกอบกันเเดด ลม ฝน อีกต่อไป